วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Weight Training VS Trading


                ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย โดยปกตินอกจากการเตะฟุตบอลแล้ว การเข้ายิมยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเช่นเดียวกัน ผมคงเป็นเหมือนผู้ชายหลายๆคนบนโลกใบนี้ ที่อยากมีหุ่นที่ดี มี 6 packs เวลาแต่งตัวก็ดูดี (ไม่แต่งตัว ถอดเสื้อก็ดูดี) แต่การจะทำให้เราได้หุ่นแบบนั้นมามันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แบบปลอกกล้วยเข้าปากเหมือนกัน

                   การเข้ายิมเพื่อออกกำลังกายสร้างหุ่นนั้น จะว่าไปมันก็ดูคล้ายๆกับการสร้างพอร์ทของเรานั่นแหละ ไม่ต่างกันเลย บางคนรูปร่างดีอยู่แล้วสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป ก็เหมือนคนที่มีเงินทุนพร้อมอยู่แล้ว ทำให้การสร้างพอร์ทขึ้นมาก็คงได้เปรียบกว่าคนที่ไม่มี ก็เหมือนคนอ้วนฉุนั่นแหละ ทีนี้ถ้าเราเป็นคนที่อ้วนมาตั้งแต่แรก โครงสร้างเราไม่ได้ดี เราจะทำอย่างไร ผมคิดไปคิดมา มันเป็นอะไรที่คล้ายคลึงกันมากๆ การที่เราจะเพาะกล้ามนั้นก่อนอื่นเลย เราก็ต้องเบิร์นไขมันออกซะก่อนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายเราให้พร้อมในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การเทรดก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่เราจะเทรดได้ดี เราก็ต้องมีการเสาะแสวงหาความรู้เบื้องต้นเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเทรดของเรา 

                   ทีนี้เมื่อเราเตรียมสภาพร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนต่อไป ก็คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อนี่แหละ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะรีบใส่น้ำหนักเข้าไป รีบๆยก เพื่อเร่งกล้ามเนื้อ ทำแบบนี้ก็มีแต่จะได้รับการบาดเจ็บ ส่งผลให้เราต้องหยุดเล่น พักนาน ดีไม่ดีในช่วงเวลาที่พักนานๆ มันทำให้เสียกำลังใจไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็เคยประสบพบเจอมา ถ้ามองถึงในการเทรด ถ้าเราอยากเร่งให้พอร์ทเราโตเร็วๆ เราทำการโอเวอร์เทรดไม่วางแผนให้ดี แรกๆเรายังแรงดีหรืออาจจะโชคดีทำผลงานได้ดี เติบโตไว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พลาดพลั้งขึ้นมา พอร์ทเราก็พังได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเราอาจจะไม่มีเงินส่วนอื่น มาทำการเทรดอีกแล้วก็เป็นได้ เป็นอะไรที่ใกล้เคียงและให้ข้อคิดได้ดีเหมือนกัน 

                   ความสม่ำเสมอในการเข้ายิมเพื่อออกกำลังกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ถ้าเราไม่จริงจังอยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้า อยากหยุดก็หยุด แบบนี้การพัฒนาร่างกายของเราก็จะเติบโตได้ช้า ซึ่งผมก็มองการเทรดในลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีความสม่ำเสมอในการเทรด ในการเรียนรู้ การที่พอร์ทเราจะเติบโตได้อย่างมั่นคง การที่ทักษะการเทรดของเราจะดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่องนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยาก โอกาสที่จะได้หุ่นที่สวยและรักษามันไว้ให้นานๆ กับการที่จะประสบความสำเร็จในฐานะเทรดเดอร์ในระยะยาวก็คงเป็นไปได้ยากเช่นเดียวกัน ถ้าเรายังขาดสิ่งเหล่านี้

                ดังนั้นการเข้ายิมของผมก็ดี หรือการเทรดก็ดี มันสอนผมในสองเรื่องนี้ซึ่งกันและกันตลอด ตอนนี้ผมมีอาการเจ็บไหล่เนื่องจากใส่น้ำหนักและเร่งมากเกินไป ทำให้ผมต้องหยุดพักการออกกำลังกายหนักๆไปเกือบเดือน แต่ผมก็พยายามกายภาพอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้สภาพร่างกายกลับมาพร้อมฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง เพื่อที่จะมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ผมต้องการได้ โดยที่จะต้องไม่กลับไปบาดเจ็บด้วยการผิดพลาดแบบเก่าๆอีก เรื่องนี้ก็สอนผมในเรื่องเทรดเหมือนกันว่า การที่เราค่อยๆเรียนรู้เป็นลำดับขั้นตอนด้วยความอดทนตั้งใจจริง สม่ำเสมอ มีวินัย ทำตามแผนการที่เราได้วางไว้ตั้งแต่ต้นนั้น จะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ในระยะยาว และไม่ทำให้พอร์ทต้องเกิดอาการบาดเจ็บจนต้องหยุดพักไป เหมือนร่างกายของเรา ... 

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

Trading Journal 23 Apr 2014


     ช่วงนี้หลังจากได้ไอเดียการเทรดมาใหม่ ก็ทำให้จิตใจนิ่งลง ไอเดียใหม่นี้ก็คือ
ถ้าไม่โลภ เดี๋ยวก็จะได้ดีเอง ก็เทรดไปตามจังหวะกราฟ และ zone โดยยังต้องลดต้นทุนเหมือนเดิม


วันนี้ก็ได้จังหวะตาม chart จึงได้เข้าเปิด L gold ไป
Entry : 1284.85

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

Trading Journal 15 Apr 2014


     กลับมาเริ่มเทรดอีกครั้งหลักจากลาบวชไป 26 วัน จิตใจสงบลงไปมากๆทีเดียว ได้คิดทบทวนอะไรมากขึ้น นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ


วันนี้เห็นจังหวะ S gold ก็เลยเปิด Order ไปดังตามภาพ ถือว่าเป็น order แรกในรอบเดือนที่หายไป
Entry : 1321.54

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Non-Farm Employment ( สวิงกิ้ง รถไฟเหาะตีลังกา )


          วันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในทีมเรา โดยกระสุนในการเทรดนั้นจะลดลงจาก 5 นัดเหลือ 2 นัด และยกเลิกกฏ net exposure [-2,+2] ไป ด้วยเหตุผลในเรื่องของ Risk Management
ดังนั้น เลขกระสุนของเราจะเป็นดังนี้

1. Knab01 = B
2. Knab02 = S

          วันนี้มีประกาศ Non-Farm Employment ของทางอเมริกา โดยตัวเลขครั้งที่แล้วอยู่ที่  75K แต่ค่าประมาณการครั้งนี้ให้ถึง 185K ซึ่งเป็นตัวเลขทีค่อนข้างสูงมากๆ แต่สุดท้ายผลก็ประกาศออกมาอยู่ที่ 113K เท่านั้น

          หลังจากที่ประกาศออกปุ๊บทองก็ได้ทิ้งตัวลงมาอย่างแรงถึงแนวราคา1252.64 ในนาทีแรก
นาทีถัดมาก็ได้วิ่งสวนปรี๊ดขึ้นไปทำไฮที่ 1271.91 ทำให้เราสามารถปิดออร์เดอร์ Buy เมื่อวานไปได้
ที่ราคา 1267.04 ตามเป้าที่มองไว้


วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

OPEN BUY Gold


          หลังจากที่การเลือกแนวทางในมัดเล่กรุ๊ปได้เสร็จสิ้นไป เราก็ได้เลือกแนวทางที่ 2 และ 3 โดยส่วนใหญ่ (น่าจะทุกคน) ก็คงเลือก 2 เป็นหลัก ส่วนรองลงมาก็เป็น 3 ไม่ก็ 4 คนที่เลือก 1 เป็นหลักนี่ก็คงเจ๋งน่าดู แต่ผมเลือกที่จะมาฝึกตัวแล้ว ผมจะขอดำเนินตามแนวทางที่ผู้บริหารมัดเล่วางไว้

          หลักก็ไม่มีอะไรมากเรายังคงเทรดด้วย กระสุน 5 นัด และ net exposure ที่ [-2,+2] อยู่เช่นเคย แต่ก็จะมีกฏเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ
1. ถ้าเราเลือกที่จะเล่นหน้าไหนแล้ว กระสุนนั้นจะต้องเล่นหน้านั้นตลอดไป
2. ลดต้นทุนกระสุนของเราในทุกครั้งๆที่เทรด นั่นคือ ราคาเปิดที่เปิดใหม่ จะต้องดีกว่าราคาปิดเก่า
ซึ่งเป็นกฏที่ท้าทายและทดสอบฝีมือได้ดีมากๆ
วันนี้เราก็ได้เปิด Order Buy แรกไป กับทองคำ โดยแผนของเราคือจะแบ่ง 5 นัดออกเป็น กระสุน Buy 3 นัด และ กระสุน Sell 2 นัด โดย กระสุน Buy จะเป็นเลขคี่ และ กระสุน Sell จะเป็นเลขคู่

ดังนั้นจะได้ดังนี้
1. Knab01 = B
2. Knab02 = S
3. Knab03 = B
4. Knab04 = S
5. Knab05 = B

โดยเราเปิด B ตรงบริเวณแนวรับที่เส้นสีแดง ได้ราคา 1255.48 โดยตั้ง TP ไว้ที่ 1267
กำไรที่คาดหมายที่ 1152 pips


วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Interest Rate


          โดยปกติแล้วการปรับเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นนโยบายด้านการเงิน ( financial policy ) ที่คอยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และควบคุมการเติบโตของเศรษฐกิจได้ส่วนนึง โดยปกติแล้ว ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็มักจะถูกปรับให้สูงขึ้นเพื่อควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อร้อนแรงมากเกินไป ในกรณีที่เงินเฟ้อต่ำ อัตราดอกเบี้ยมักจะถูกปรับให้ลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้เราจะมาพูดถึงกันเรื่องการปรับอัตราสูงขึ้นจะมีผลกระทบในด้านไหนบ้าง

1. เพิ่มภาระในการกู้ยืม

     ดอกเบี้ยในกู้ยืมจะสูงขึ้น สำหรับคนที่มีหนี้สินอยู่แล้ว ก็ต้องรับภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง สุดท้ายการบริโภคอุปโภคก็จะลดลง

2. กระตุ้นให้คนเก็บเงินมากกว่าจับจ่าย

     เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับก็จะปรับตัวสูงเพิ่มขึ้นไปด้วย

3. อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ มูลค่าของเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น

     เงินร้อนที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรอัตราดอกเบี้ย เพราะอัตราดอกเบี้ยมากกว่าประเทศอื่นๆนั้น ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกลดลง (แต่เพิ่มความสามารถในการนำเข้า)

4. รัฐบาลจะต้องรับภาระดอกเบี้ยหนี้ที่เพิ่มขึ้น

     รัฐจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินที่กู้มาเพื่อดำเนินกิจการภายในประเทศ ซึ่งการที่ภาระอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้น อาจจะนำไปสู่การขึ้นภาษีได้ในอนาคต

5. ลดความเชื่อมั่น

     อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นจะไปส่งผลกระทบให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน ทำให้คนไม่กล้าที่จะลงทุนในทรัพย์สินที่เสี่ยง

          ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขั้น มักจะก่อให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเสียเป็นส่วนใหญ่

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

Open Sell E/U for retracement 38.2%

    EURUSD

         วันศุกร์ที่ 24 มกราคม (เมื่อวานนี้) E/U ได้วิ่งมาถึงแนวต้านที่สองที่เรามองไว้ จึงได้หาจังหวะเข้า Sell สั้นๆเพื่อเล่นย่อ

เปิด Order ไปที่ราคา 1.36830
โดยวางเป้าการ TP ไว้ที่ 38.2 ของที่ดีดขึ้นมา ที่ราคา 1.36255


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

Close Buy E/U & Open Sell Gold

     EURUSD

          EURUSD วันนี้ดีดตัวขึ้นมาได้แรงทีเดียวจนมาชน TP ตามที่เราวางไว้ แต่ก็ยังแรงขึ้นทะลุต่อไปได้
มองว่าดูจาก Sto ใน H4 แล้วน่าจะติดแนวต้านถัดไป พอกลับมาดูใน D1 ก็เห็นว่ายังมีพื้นที่อีกเยอะให้วิ่งขึ้นไปได้อีก รวมถึง Sto D1 ยังเด้งไม่ถึงครึ่งเลย แสดงว่ายังมีโอกาสไปได้อีก ดังนั้นมุมมองต่อไปก็คือราคาน่าจะวิ่งไปติดแนวต้านถัดไป แล้วย่อลงมา แล้ววิ่งขึ้นต่อไปได้

ข้อผิดพลาดจากเทรดไม้ล่าสุด : เราปิด Buy เร็วเกินไป แต่เนื่องจากไม่ได้เฝ้าจอตลอดเวลาเลยตั้งTPไว้

Next Action : รอจังหวะ Sell สั้นๆ ที่แนวต้านถัดไป แล้วหาจังหวะ Buy ต่อ เมื่อย่อตัวเสร็จ




     XAUUSD



          ทองจากครั้งที่แล้วที่จะรอจังหวะ เข้า Sell เพราะมีมุมมองว่าราคาน่าจะไหลลงไปกรอบล่างก่อน อย่างน้อยๆ ทำ Lower Low แล้วค่อยดีดตัวขึ้นมา เนื่องจากไฮก่อนหน้าทำ Bearish Divergent และ ย่อหลุด neck line ของ Double Top ไปแล้ว เลยมองว่า การดีดครั้งนี้ไม่น่ามี New high และเนื่องจากไม่มีเวลาเฝ้าทั้งวัน เลยเลือกที่จะตั้ง Sell limit ไว้ใน zone บนของการเด้งที่แนว 61.8%  ที่ราคา 1252 เหรียญ

          ราคาทองเด้งแรงมากๆ จนมาถึงจุดที่เราตั้งเปิด Order ไว้ และกระชากขึ้นต่อ จนถึงแนวต้านใน Day ที่ 1265 เหรียญจนได้ จริงๆแล้วถ้ามาดูใน M5 จะเห็นว่าการ Sell ตอนนั้นเป็นอะไรที่สวนเทรนด์มากๆ ราคายกก้น ยกหัวตลอด เป็นแนวโน้มขึ้นชัดๆ แต่เนื่องจากเรากลัวที่จะไม่ได้ Order ก็เลยเลือกที่จะตั้ง Sell limit ไว้ เพื่อที่จะได้ Order แม้ไม่อยู่หน้าจอ
          อย่างไรก็ตามจาก ภาพ D1 ทั้งระดับราคาเองก็ดี และ ตัว Sto รวมถึงความชันของการเด้งครั้งนี้ ยังทำให้มองว่ายังมีแนวโน้มลงได้ต่ออีก ตอนนี้ก็ถือทนไปก่อน

          วันนี้ข้อเสียที่เห็นได้ชัดจากการเทรดทั้งสองครั้งก็คือการที่เราตั้ง Pending Order ไว้ แล้วเป็นการขายหมู หรือ ได้ราคาเปิด Order ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ต้องหาวิธีแก้ต่อไป



วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

First Order with Mudleygroup


          วันนี้หยุดอยู่บ้านหนึ่งวัน เลยมีเวลาทบทวนและวางแผนจัดตารางเวลาให้กับชีวิตตัวเองเพื่อการพัฒนาทักษะของตัวเองยิ่งๆขึ้นไป โดยในแต่ละวันนั้นจะต้องหาเวลาทำตามตารางให้ได้ดังต่อไปนี้

1. เล่น Poker อย่างน้อย 1 Hr / day
2. เล่น หมากรุกสากล อย่างน้อย 1 Hr/day
3. อ่าน Text Book ที่เกี่ยวกับการเทรด อย่างน้อย 1 Hr/day

โดยสามสิ่งข้างต้นนี้จะเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ในทุกๆวัน โดยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

POKER



          เปิดประเดิมวันแรกในการทำ Poker Stat เก็บสถิติของเราเอาไว้ วันนี้เล่นไป 1 ชั่วโมง โดยตั้ง MM ว่าจะนำเงินเข้าไปเล่นแค่ครั้งละ 10% ของเงินต้นที่ 1000 ซึ่งก็คือ 100 จนกว่าจะทำกำไรได้ทบต้นแล้วค่อยวาง MM ใหม่จากโดยคิดแต่เฉพาะส่วนของกำไร ( เก็บทุนไว้ )  โดยวันนี้รอบแรกเข้าไปเล่นได้แค่แป๊บเดียว ไพ่เราเป็น straight A-5  แต่แพ้ Hand straight 2-6 แล้วจังหวะนั้น All - in ไปก็เลยเรียบร้อย โดยต่อจากนี้เราจะหลีกเลี่ยงการ All-in ให้น้อยที่สุด (ได้บทเรียนมาแล้ว) รอบสองทำได้ดีขึ้นได้กำไรกลับมา

CHESS

          จากที่เมื่อก่อนเราเล่นแต่หมากรุกไทยมาตลอด แต่ตอนนี้เพื่อความ World Wide จึงมาเริ่มเล่นหมากรุกสากล เพื่อที่จะเล่นได้กับคนทั่วโลก ด้วยการที่มีหลายๆตัวที่เรายังไม่คุ้นเคยวิธีการเดิน ทำให้ยังเดินเกมได้ไม่ดีนัก รวมถึงยังอ่านกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามไม่ออกอีกด้วย ก็จะต้องค่อยๆฝึกและปรับไปเรื่อยๆ วันนี้ได้เรียนรู้ว่า QUEEN ในหมากรุกสากลมีอานุภาพสูงมาก เดินได้รอบทิศ เป็นตัวที่เดินได้เยอะที่สุดในกระดานแล้ว ต่างกับคิงที่เดินได้ทีละช่อง (แต่รอบทิศเหมือนกัน) สงสัยที่เค้าว่า "สามีจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีภรรยาที่ดีคอยส่งเสริม" นั้นสงสัยจะจริง

TRADING JOURNAL

- EURUSD


          E/U วิ่งลงมาถึงกรอบล่างของ channel ที่ตีไว้ทั้งใน D1 และ H4  ประกอบกับ Sto ทั้งสอง TF อยู่ใน Zone ต่ำด้วย จึงได้หาจังหวะเปิด Buy @ 1.35349 โดยตั้ง TP ไว้ที่ 1.3621 ซึ่งเป็นแนวสำคัญใน H4
โดยตามกฏกติกาการเทรด จะไม่มีการคัทลอส ดังนั้น ตำแหน่งการเข้า Zone ราคา จะต้องถูกพิจารณาให้ถี่ถ้วนทุกครั้ง และนี่เป็น Order แรก กับการเป็นเทรดเดอร์ของ Mudleygroup ของเรา

- XAUUSD


          ทองคำวันนี้พลาดมากๆ ราคาวิ่งไปถึงกรอบด้านบนใน D1 โดยมีแนวต้านราคาที่ระดับ 1265 เป็นแนวสำคัญ และใน H4  Price Pattern ค่อนข้างชัดเจน แต่มัวแต่เล่น Chess เลยไม่ได้ดู ( แย่มากๆ ต้องปรับปรุง ) และกว่าจะมาเห็นราคาก็ทิ้งไปค่อนข้างเยอะแล้ว ณ ตอนนี้ราคาเหมือนจะติด Neck Line อยู่ มองว่าน่าจะมีการดีดตัวกลับขึ้นก่อนหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะทิ้งลงมาอีกรอบ ก็เลยตี Fibo เป็นแนวต้านรอไว้หาจังหวะเข้า Sell อีกครั้ง


Portman


          ช่วงปลายปี 2013 เดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ทาง Mudleygroup ได้เปิดรับเทรดเดอร์เพิ่มในโครงการ Portman โดยมีพี่โบ และ พี่ Bally เป็นกรรมการคอยดูแลการคัดเลือกนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มสมัครมีการคัดโดยให้เขียนเรียงความ ที่เกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากทำให้ได้ในชีวิตนี้ หรือ ให้เล่าถึงการเทรดครั้งที่คิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิต โดยเราเลือกที่จะเขียนเกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากทำให้ได้ในชีวิตนี้ส่งไป และได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

           โดยก็ยังมีเรียงความให้เขียนอีกซึ่งน่าสนใจมากๆ หัวข้อนั้นคือ "ถ้าเราสามารถติดสินบนพี่ Bally เพื่อได้ให้รับการคัดเลือกได้ เราจะทำอย่างไร" และก็ต้องแข่งขันเทรดไปด้วย ซึ่งจากการแข่งขันครั้งนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ทีม Portman ของพี่ Bally แต่สุดท้าย อาจจะเป็นเพราะโชคของเรา พี่กฤษแห่งทีม Mudley Internship ก็ได้ดึงตัวเราไป ทำให้ในที่สุดความฝันของเราที่อยากเข้ามาเป็นส่วนนึงของ Mudleygroup ก็สำเร็จจนได้ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่เจ๋งมากๆ

           สำหรับการแข่ง Portman นั้นเราก็ได้ทำ Trading Journal แยกไว้เช่นกันตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
http://bankportmandiary.blogspot.com/


Thai Trade Project


          ในปีที่ผ่านมาช่วง กรกฏาคม - สิงหาคม เราได้มีโอกาสเข้าร่วม Thai Trade Project ที่ถูกจัดขึ้นโดยพี่เอก Cway-Investment ซึ่งเปิดมุมมองการเทรดของเราให้กว้างออกไปอีก ทั้งการเขียน Trading Journal  การนั่งสมาธิ รวมถึงการเทรดในแบบต่างๆ ณ ตอนนั้นเราได้ทำ Trading Journal ไว้อีก Blog นึง ตอนนี้โครงการจบไปแล้ว แต่ความรู้และประสบการณ์ต่างๆยังคงอยู่ เลยจะเอาลิ้งค์ของ Blog นั้นมาใส่เก็บไว้ใน Blog หลักนี้ด้วย

http://bankthaitradeproject.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

LIBOR


          ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ Colm O'Shea ในหนังสือ Hedge Fund Market Wizards นั้น ได้มีการพูดถึง financial crisis ในปี 2006-2008 ผู้สัมภาษณ์ได้ถามว่า O'Shea เค้ารับรู้ได้อย่างไรว่า Money Market กำลังพังทะลายลงมา ประเด็นหนึ่งที่ O'Shea พูดไว้ และผมว่าน่าสนใจที่จะนำมาศึกษาต่อมากๆก็คือ เค้าบอกว่า ณ เวลานั้น ค่า LIBOR สูงมากๆ ทำให้ ธนาคารแต่ละธนาคารนั้นจะมีต้นทุนในการยืม กู้เงิน กันและกันสูงขึ้น ทำให้การไหลของเงินไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป และจุดนั้นนี่เองที่เป็นการเริ่มต้นของ Money Market Collapse 

          ทีนี้เรามาดูกันว่า LIBOR นี่คืออะไร LIBOR ย่อมาจาก London Interbank Offer Rate ซึ่งคำนวณได้จากการที่ในแต่ละวัน ธนาคารขนาดใหญ่ 16 แห่ง จะส่งข้อมูลให้กับสมาคมนายธนาคารอังกฤษว่า ตัวเองจะต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราเท่าไหร่ ถ้ากู้เงินจากธนาคารอื่นวันนี้ โดย อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 4 ตัวและ ต่ำสุด 4 ตัว จะถูกตัดออกไป และ LIBOR จะถูกคำนวณจากค่าเฉลี่ยของต้นทุนของ 8 ธนาคารที่เหลือ โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทยเราก็ได้มีการลงแจ้งไว้ทุกวันๆ โดยติดตามได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้ 
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=224&language=th

โดLIBOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนทั้งในส่วนของ 
1) การคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 
2) มุมมองต่อความเสี่ยงในการกู้ยืมระหว่างธนาคาร 

          ถ้าหากเราต้องการวัดเฉพาะมุมมองด้านความเสี่ยงของตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคารเพียงอย่างเดียว เราก็หักผลของคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ซึ่งมาตรวัดความเสี่ยงที่นิยมใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลาย คือ"LIBOR-OIS spread" หรือส่วนต่างระหว่าง LIBOR และ Overnight Indexed Swap rate (OIS rate)
          จากรูปด้านล่างจะเห็นได้ว่า ในช่วงสถานการณ์ปกติ (ก่อนเดือนสิงหาคม 2007) LIBOR-OIS spread ระยะ 3 เดือน จะอยู่ที่ประมาณ 0.1% โดยเฉลี่ย แต่ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเงินต่างๆ LIBOR-OIS spread ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปกติค่อนข้างมาก และได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 3.64% ในเดือนตุลาคม 2008 จากผลของการล้มละลายของ Lehman Brothers อย่างไรก็ดี หลังจากวิกฤติเริ่มคลี่คลายลง LIBOR-OIS spread ก็ได้ปรับลดลงเป็นลำดับและกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
ที่มา : http://scbeic.com/THA/document/libor_july2010/



          สำหรับตลาดไทยนั้นมีการใช้ทั้ง THBFIX และ BIBOR ซึ่งพักหลังๆ จะค่อนข้างเอนเอียงมาทาง BIBOR ซะเป็นส่วนใหญ่ ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ต่อไปนี้








วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

Happy New Year 2014


          ปีใหม่ปีนี้ได้ใช้เวลาพักอยู่กับที่บ้านยาวๆเลย รวมถึงคืนส่งท้ายปีและวันปีใหม่ด้วย เป็นอีกปีนึงที่พักเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างในคืนเคาท์ดาวน์ 555 ซึ่งก็ทำได้ดี และก็ผ่านมันมาได้ เห็นมั้ยไม่จำเป็นต้องดื่มเราก็สามารถมีคืนเคาท์ดาวน์ดีๆได้เหมือนกัน

          ช่วงหยุดยาวนี้ ได้หนังสือดีๆมาไว้อ่านเยอะแยะมากมาย บางเล่มก็ต้องฝาก Asia Book นำเข้ามาให้ ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี (ก็แหงดิ เราจ่ายตังเค้านี่นา 55) หนังสือเล่มแรกใน lot ล่าสุดที่กำอ่านอยู่ตอนนี้ก็คือ Hedge Fund Market Wizards ; How Winning Traders Win โดย Jack D. Schwager ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมบทสัมภาษณ์ของ Hedge Fund Manager เก่งๆหลายท่านเอาไว้ อยากบอกว่า แค่บทนำโดย Ed Seykota ก็เจ๋งแล้วว

          บทแรกได้สัมภาษณ์ Colm O'Shea แห่ง Comac Capital โดยเค้าเป็นสาย Global Macro เค้าเคยทำงานเป็น trader ให้กับ Citigroup อีกทั้งยังเคยทำงานให้กับ Soros's Quantum Fund ในฐานะของ Portfolio Manager คนๆนี้มีเรื่องราวและมุมมองที่น่าสนใจหลายๆอย่าง เลยอยากจะสรุปเอาไว้คร่าวๆดังนี้

- O'Shea has no reluctance in liquidating the position when his hypothesis for that trade is wrong.
- O'Shea defines the price point that would invalidate his hypothesis before he places a trade.
- He sizes his position so that the loss from a move to that price level is limited to a small percentage of asset.  
(ผมว่าข้อนี้สำคัญ ยิ่งในฐานะของ Global Macro โดยเอามาประยุกต์กับจุดคัทลอสได้ตรงที่ว่า การวางคัทลอส ไม่ได้หมายความว่าเราจะวางในจุดที่เราทนขาดทุนไม่ไหว แต่จริงๆแล้ว มันควรจะต้องเป็นจุดของราคาที่บอกเราว่า ถ้าราคาไปในระดับนั้นแล้ว มุมมองของเราที่มีต่อตลาดนั้นผิด แล้วเราจึงคัท)

          ครั้งหนึ่ง O'Shea เคยสัมภาษณ์งานในตำแหน่ง economic consultant เค้าถูกถามว่า "How dose taking money from people by selling bonds and giving that same amount of money back to people through fiscal spending create stimulus?" เค้าตอบง่ายๆว่า "That is a really good question. I never thought about it." คนสัมภาษณ์ที่เค้าเต็มใจที่จะยอมรับว่าเค้าไม่รู้มากกว่าการ bluff และสุดท้ายเค้าก็ได้งานนั้น

          แม้ว่า O'Shea จะเน้นแนวทางของ Global Macro แต่เค้าก็ให้ความสำคัญกับทั้ง Fundamental และ technical พอๆกัน โดยเค้ากล่าวไว้ว่า "To use a sailing analogy, the wind matters, but the tide matters, too. If you don't know what the tide is, and you plan everything just based on the wind, you are going to end up crashing into the rocks. That is how I see fundamentals and technicals."

- You have to look at real fundamentals, not at what policy makers want to happen.
   เป็นสิ่งที่ O'Shea ได้เรียนรู้จากตอนที่ Soros ถล่มค่าเงินปอนด์ ที่ทางอังกฤษพยายามทำให้ค่าเงินตัวเองแข็ง เพื่อที่จะได้อยู่ใน ERM ต่อไปได้ ทั้งๆที่ เศรษฐกิจตอนนั้นของอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะถดถอย แต่ทางฝั่งเยอรมันประสบกับภาวะเงินเฟ้อ จึงพยายามที่จะควบคุมให้ interest rate อยู่ในระดับที่สูง โดย Soros ได้ทำการ Short Pound ของอังกฤษ และ Long Mark ของเยอรมัน สุดท้าย BOE ก็ต้านทานไม่ไหว และค่าเงินปอนด์ก็ได้ร่วงลงมาอย่างถล่มทลาย