วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557
Interest Rate
โดยปกติแล้วการปรับเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นนโยบายด้านการเงิน ( financial policy ) ที่คอยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และควบคุมการเติบโตของเศรษฐกิจได้ส่วนนึง โดยปกติแล้ว ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็มักจะถูกปรับให้สูงขึ้นเพื่อควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อร้อนแรงมากเกินไป ในกรณีที่เงินเฟ้อต่ำ อัตราดอกเบี้ยมักจะถูกปรับให้ลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้เราจะมาพูดถึงกันเรื่องการปรับอัตราสูงขึ้นจะมีผลกระทบในด้านไหนบ้าง
1. เพิ่มภาระในการกู้ยืม
ดอกเบี้ยในกู้ยืมจะสูงขึ้น สำหรับคนที่มีหนี้สินอยู่แล้ว ก็ต้องรับภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง สุดท้ายการบริโภคอุปโภคก็จะลดลง
2. กระตุ้นให้คนเก็บเงินมากกว่าจับจ่าย
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับก็จะปรับตัวสูงเพิ่มขึ้นไปด้วย
3. อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ มูลค่าของเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น
เงินร้อนที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรอัตราดอกเบี้ย เพราะอัตราดอกเบี้ยมากกว่าประเทศอื่นๆนั้น ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกลดลง (แต่เพิ่มความสามารถในการนำเข้า)
4. รัฐบาลจะต้องรับภาระดอกเบี้ยหนี้ที่เพิ่มขึ้น
รัฐจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินที่กู้มาเพื่อดำเนินกิจการภายในประเทศ ซึ่งการที่ภาระอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้น อาจจะนำไปสู่การขึ้นภาษีได้ในอนาคต
5. ลดความเชื่อมั่น
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นจะไปส่งผลกระทบให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน ทำให้คนไม่กล้าที่จะลงทุนในทรัพย์สินที่เสี่ยง
ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขั้น มักจะก่อให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเสียเป็นส่วนใหญ่
วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557
Open Sell E/U for retracement 38.2%
EURUSD
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม (เมื่อวานนี้) E/U ได้วิ่งมาถึงแนวต้านที่สองที่เรามองไว้ จึงได้หาจังหวะเข้า Sell สั้นๆเพื่อเล่นย่อ
เปิด Order ไปที่ราคา 1.36830
โดยวางเป้าการ TP ไว้ที่ 38.2 ของที่ดีดขึ้นมา ที่ราคา 1.36255
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557
Close Buy E/U & Open Sell Gold
EURUSD
EURUSD วันนี้ดีดตัวขึ้นมาได้แรงทีเดียวจนมาชน TP ตามที่เราวางไว้ แต่ก็ยังแรงขึ้นทะลุต่อไปได้
มองว่าดูจาก Sto ใน H4 แล้วน่าจะติดแนวต้านถัดไป พอกลับมาดูใน D1 ก็เห็นว่ายังมีพื้นที่อีกเยอะให้วิ่งขึ้นไปได้อีก รวมถึง Sto D1 ยังเด้งไม่ถึงครึ่งเลย แสดงว่ายังมีโอกาสไปได้อีก ดังนั้นมุมมองต่อไปก็คือราคาน่าจะวิ่งไปติดแนวต้านถัดไป แล้วย่อลงมา แล้ววิ่งขึ้นต่อไปได้
ข้อผิดพลาดจากเทรดไม้ล่าสุด : เราปิด Buy เร็วเกินไป แต่เนื่องจากไม่ได้เฝ้าจอตลอดเวลาเลยตั้งTPไว้
Next Action : รอจังหวะ Sell สั้นๆ ที่แนวต้านถัดไป แล้วหาจังหวะ Buy ต่อ เมื่อย่อตัวเสร็จ
XAUUSD
ทองจากครั้งที่แล้วที่จะรอจังหวะ เข้า Sell เพราะมีมุมมองว่าราคาน่าจะไหลลงไปกรอบล่างก่อน อย่างน้อยๆ ทำ Lower Low แล้วค่อยดีดตัวขึ้นมา เนื่องจากไฮก่อนหน้าทำ Bearish Divergent และ ย่อหลุด neck line ของ Double Top ไปแล้ว เลยมองว่า การดีดครั้งนี้ไม่น่ามี New high และเนื่องจากไม่มีเวลาเฝ้าทั้งวัน เลยเลือกที่จะตั้ง Sell limit ไว้ใน zone บนของการเด้งที่แนว 61.8% ที่ราคา 1252 เหรียญ
ราคาทองเด้งแรงมากๆ จนมาถึงจุดที่เราตั้งเปิด Order ไว้ และกระชากขึ้นต่อ จนถึงแนวต้านใน Day ที่ 1265 เหรียญจนได้ จริงๆแล้วถ้ามาดูใน M5 จะเห็นว่าการ Sell ตอนนั้นเป็นอะไรที่สวนเทรนด์มากๆ ราคายกก้น ยกหัวตลอด เป็นแนวโน้มขึ้นชัดๆ แต่เนื่องจากเรากลัวที่จะไม่ได้ Order ก็เลยเลือกที่จะตั้ง Sell limit ไว้ เพื่อที่จะได้ Order แม้ไม่อยู่หน้าจอ
อย่างไรก็ตามจาก ภาพ D1 ทั้งระดับราคาเองก็ดี และ ตัว Sto รวมถึงความชันของการเด้งครั้งนี้ ยังทำให้มองว่ายังมีแนวโน้มลงได้ต่ออีก ตอนนี้ก็ถือทนไปก่อน
วันนี้ข้อเสียที่เห็นได้ชัดจากการเทรดทั้งสองครั้งก็คือการที่เราตั้ง Pending Order ไว้ แล้วเป็นการขายหมู หรือ ได้ราคาเปิด Order ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ต้องหาวิธีแก้ต่อไป
วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557
First Order with Mudleygroup
วันนี้หยุดอยู่บ้านหนึ่งวัน เลยมีเวลาทบทวนและวางแผนจัดตารางเวลาให้กับชีวิตตัวเองเพื่อการพัฒนาทักษะของตัวเองยิ่งๆขึ้นไป โดยในแต่ละวันนั้นจะต้องหาเวลาทำตามตารางให้ได้ดังต่อไปนี้
1. เล่น Poker อย่างน้อย 1 Hr / day
2. เล่น หมากรุกสากล อย่างน้อย 1 Hr/day
3. อ่าน Text Book ที่เกี่ยวกับการเทรด อย่างน้อย 1 Hr/day
โดยสามสิ่งข้างต้นนี้จะเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ในทุกๆวัน โดยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
POKER
เปิดประเดิมวันแรกในการทำ Poker Stat เก็บสถิติของเราเอาไว้ วันนี้เล่นไป 1 ชั่วโมง โดยตั้ง MM ว่าจะนำเงินเข้าไปเล่นแค่ครั้งละ 10% ของเงินต้นที่ 1000 ซึ่งก็คือ 100 จนกว่าจะทำกำไรได้ทบต้นแล้วค่อยวาง MM ใหม่จากโดยคิดแต่เฉพาะส่วนของกำไร ( เก็บทุนไว้ ) โดยวันนี้รอบแรกเข้าไปเล่นได้แค่แป๊บเดียว ไพ่เราเป็น straight A-5 แต่แพ้ Hand straight 2-6 แล้วจังหวะนั้น All - in ไปก็เลยเรียบร้อย โดยต่อจากนี้เราจะหลีกเลี่ยงการ All-in ให้น้อยที่สุด (ได้บทเรียนมาแล้ว) รอบสองทำได้ดีขึ้นได้กำไรกลับมา
CHESS
จากที่เมื่อก่อนเราเล่นแต่หมากรุกไทยมาตลอด แต่ตอนนี้เพื่อความ World Wide จึงมาเริ่มเล่นหมากรุกสากล เพื่อที่จะเล่นได้กับคนทั่วโลก ด้วยการที่มีหลายๆตัวที่เรายังไม่คุ้นเคยวิธีการเดิน ทำให้ยังเดินเกมได้ไม่ดีนัก รวมถึงยังอ่านกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามไม่ออกอีกด้วย ก็จะต้องค่อยๆฝึกและปรับไปเรื่อยๆ วันนี้ได้เรียนรู้ว่า QUEEN ในหมากรุกสากลมีอานุภาพสูงมาก เดินได้รอบทิศ เป็นตัวที่เดินได้เยอะที่สุดในกระดานแล้ว ต่างกับคิงที่เดินได้ทีละช่อง (แต่รอบทิศเหมือนกัน) สงสัยที่เค้าว่า "สามีจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีภรรยาที่ดีคอยส่งเสริม" นั้นสงสัยจะจริง
TRADING JOURNAL
- EURUSD
E/U วิ่งลงมาถึงกรอบล่างของ channel ที่ตีไว้ทั้งใน D1 และ H4 ประกอบกับ Sto ทั้งสอง TF อยู่ใน Zone ต่ำด้วย จึงได้หาจังหวะเปิด Buy @ 1.35349 โดยตั้ง TP ไว้ที่ 1.3621 ซึ่งเป็นแนวสำคัญใน H4
โดยตามกฏกติกาการเทรด จะไม่มีการคัทลอส ดังนั้น ตำแหน่งการเข้า Zone ราคา จะต้องถูกพิจารณาให้ถี่ถ้วนทุกครั้ง และนี่เป็น Order แรก กับการเป็นเทรดเดอร์ของ Mudleygroup ของเรา
- XAUUSD
ทองคำวันนี้พลาดมากๆ ราคาวิ่งไปถึงกรอบด้านบนใน D1 โดยมีแนวต้านราคาที่ระดับ 1265 เป็นแนวสำคัญ และใน H4 Price Pattern ค่อนข้างชัดเจน แต่มัวแต่เล่น Chess เลยไม่ได้ดู ( แย่มากๆ ต้องปรับปรุง ) และกว่าจะมาเห็นราคาก็ทิ้งไปค่อนข้างเยอะแล้ว ณ ตอนนี้ราคาเหมือนจะติด Neck Line อยู่ มองว่าน่าจะมีการดีดตัวกลับขึ้นก่อนหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะทิ้งลงมาอีกรอบ ก็เลยตี Fibo เป็นแนวต้านรอไว้หาจังหวะเข้า Sell อีกครั้ง
Portman
ช่วงปลายปี 2013 เดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ทาง Mudleygroup ได้เปิดรับเทรดเดอร์เพิ่มในโครงการ Portman โดยมีพี่โบ และ พี่ Bally เป็นกรรมการคอยดูแลการคัดเลือกนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มสมัครมีการคัดโดยให้เขียนเรียงความ ที่เกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากทำให้ได้ในชีวิตนี้ หรือ ให้เล่าถึงการเทรดครั้งที่คิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิต โดยเราเลือกที่จะเขียนเกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากทำให้ได้ในชีวิตนี้ส่งไป และได้ผ่านเข้ารอบต่อไป
โดยก็ยังมีเรียงความให้เขียนอีกซึ่งน่าสนใจมากๆ หัวข้อนั้นคือ "ถ้าเราสามารถติดสินบนพี่ Bally เพื่อได้ให้รับการคัดเลือกได้ เราจะทำอย่างไร" และก็ต้องแข่งขันเทรดไปด้วย ซึ่งจากการแข่งขันครั้งนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ทีม Portman ของพี่ Bally แต่สุดท้าย อาจจะเป็นเพราะโชคของเรา พี่กฤษแห่งทีม Mudley Internship ก็ได้ดึงตัวเราไป ทำให้ในที่สุดความฝันของเราที่อยากเข้ามาเป็นส่วนนึงของ Mudleygroup ก็สำเร็จจนได้ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่เจ๋งมากๆ
สำหรับการแข่ง Portman นั้นเราก็ได้ทำ Trading Journal แยกไว้เช่นกันตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
http://bankportmandiary.blogspot.com/
Thai Trade Project
ในปีที่ผ่านมาช่วง กรกฏาคม - สิงหาคม เราได้มีโอกาสเข้าร่วม Thai Trade Project ที่ถูกจัดขึ้นโดยพี่เอก Cway-Investment ซึ่งเปิดมุมมองการเทรดของเราให้กว้างออกไปอีก ทั้งการเขียน Trading Journal การนั่งสมาธิ รวมถึงการเทรดในแบบต่างๆ ณ ตอนนั้นเราได้ทำ Trading Journal ไว้อีก Blog นึง ตอนนี้โครงการจบไปแล้ว แต่ความรู้และประสบการณ์ต่างๆยังคงอยู่ เลยจะเอาลิ้งค์ของ Blog นั้นมาใส่เก็บไว้ใน Blog หลักนี้ด้วย
http://bankthaitradeproject.blogspot.com/
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557
LIBOR
ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ Colm O'Shea ในหนังสือ Hedge Fund Market Wizards นั้น ได้มีการพูดถึง financial crisis ในปี 2006-2008 ผู้สัมภาษณ์ได้ถามว่า O'Shea เค้ารับรู้ได้อย่างไรว่า Money Market กำลังพังทะลายลงมา ประเด็นหนึ่งที่ O'Shea พูดไว้ และผมว่าน่าสนใจที่จะนำมาศึกษาต่อมากๆก็คือ เค้าบอกว่า ณ เวลานั้น ค่า LIBOR สูงมากๆ ทำให้ ธนาคารแต่ละธนาคารนั้นจะมีต้นทุนในการยืม กู้เงิน กันและกันสูงขึ้น ทำให้การไหลของเงินไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป และจุดนั้นนี่เองที่เป็นการเริ่มต้นของ Money Market Collapse
ทีนี้เรามาดูกันว่า LIBOR นี่คืออะไร LIBOR ย่อมาจาก London Interbank Offer Rate ซึ่งคำนวณได้จากการที่ในแต่ละวัน ธนาคารขนาดใหญ่ 16 แห่ง จะส่งข้อมูลให้กับสมาคมนายธนาคารอังกฤษว่า ตัวเองจะต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราเท่าไหร่ ถ้ากู้เงินจากธนาคารอื่นวันนี้ โดย อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 4 ตัวและ ต่ำสุด 4 ตัว จะถูกตัดออกไป และ LIBOR จะถูกคำนวณจากค่าเฉลี่ยของต้นทุนของ 8 ธนาคารที่เหลือ โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทยเราก็ได้มีการลงแจ้งไว้ทุกวันๆ โดยติดตามได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=224&language=th
โดยLIBOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนทั้งในส่วนของ
1) การคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
2) มุมมองต่อความเสี่ยงในการกู้ยืมระหว่างธนาคาร
ถ้าหากเราต้องการวัดเฉพาะมุมมองด้านความเสี่ยงของตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคารเพียงอย่างเดียว เราก็หักผลของคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ซึ่งมาตรวัดความเสี่ยงที่นิยมใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลาย คือ"LIBOR-OIS spread" หรือส่วนต่างระหว่าง LIBOR และ Overnight Indexed Swap rate (OIS rate)
โดยLIBOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนทั้งในส่วนของ
1) การคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
2) มุมมองต่อความเสี่ยงในการกู้ยืมระหว่างธนาคาร
ถ้าหากเราต้องการวัดเฉพาะมุมมองด้านความเสี่ยงของตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคารเพียงอย่างเดียว เราก็หักผลของคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ซึ่งมาตรวัดความเสี่ยงที่นิยมใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลาย คือ"LIBOR-OIS spread" หรือส่วนต่างระหว่าง LIBOR และ Overnight Indexed Swap rate (OIS rate)
จากรูปด้านล่างจะเห็นได้ว่า ในช่วงสถานการณ์ปกติ (ก่อนเดือนสิงหาคม 2007) LIBOR-OIS spread ระยะ 3 เดือน จะอยู่ที่ประมาณ 0.1% โดยเฉลี่ย แต่ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเงินต่างๆ LIBOR-OIS spread ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปกติค่อนข้างมาก และได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 3.64% ในเดือนตุลาคม 2008 จากผลของการล้มละลายของ Lehman Brothers อย่างไรก็ดี หลังจากวิกฤติเริ่มคลี่คลายลง LIBOR-OIS spread ก็ได้ปรับลดลงเป็นลำดับและกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
ที่มา : http://scbeic.com/THA/document/libor_july2010/
ที่มา : http://scbeic.com/THA/document/libor_july2010/
สำหรับตลาดไทยนั้นมีการใช้ทั้ง THBFIX และ BIBOR ซึ่งพักหลังๆ จะค่อนข้างเอนเอียงมาทาง BIBOR ซะเป็นส่วนใหญ่ ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ต่อไปนี้
วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557
Happy New Year 2014
ปีใหม่ปีนี้ได้ใช้เวลาพักอยู่กับที่บ้านยาวๆเลย รวมถึงคืนส่งท้ายปีและวันปีใหม่ด้วย เป็นอีกปีนึงที่พักเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างในคืนเคาท์ดาวน์ 555 ซึ่งก็ทำได้ดี และก็ผ่านมันมาได้ เห็นมั้ยไม่จำเป็นต้องดื่มเราก็สามารถมีคืนเคาท์ดาวน์ดีๆได้เหมือนกัน
ช่วงหยุดยาวนี้ ได้หนังสือดีๆมาไว้อ่านเยอะแยะมากมาย บางเล่มก็ต้องฝาก Asia Book นำเข้ามาให้ ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี (ก็แหงดิ เราจ่ายตังเค้านี่นา 55) หนังสือเล่มแรกใน lot ล่าสุดที่กำอ่านอยู่ตอนนี้ก็คือ Hedge Fund Market Wizards ; How Winning Traders Win โดย Jack D. Schwager ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมบทสัมภาษณ์ของ Hedge Fund Manager เก่งๆหลายท่านเอาไว้ อยากบอกว่า แค่บทนำโดย Ed Seykota ก็เจ๋งแล้วว
บทแรกได้สัมภาษณ์ Colm O'Shea แห่ง Comac Capital โดยเค้าเป็นสาย Global Macro เค้าเคยทำงานเป็น trader ให้กับ Citigroup อีกทั้งยังเคยทำงานให้กับ Soros's Quantum Fund ในฐานะของ Portfolio Manager คนๆนี้มีเรื่องราวและมุมมองที่น่าสนใจหลายๆอย่าง เลยอยากจะสรุปเอาไว้คร่าวๆดังนี้
- O'Shea has no reluctance in liquidating the position when his hypothesis for that trade is wrong.
- O'Shea defines the price point that would invalidate his hypothesis before he places a trade.
- He sizes his position so that the loss from a move to that price level is limited to a small percentage of asset.
(ผมว่าข้อนี้สำคัญ ยิ่งในฐานะของ Global Macro โดยเอามาประยุกต์กับจุดคัทลอสได้ตรงที่ว่า การวางคัทลอส ไม่ได้หมายความว่าเราจะวางในจุดที่เราทนขาดทุนไม่ไหว แต่จริงๆแล้ว มันควรจะต้องเป็นจุดของราคาที่บอกเราว่า ถ้าราคาไปในระดับนั้นแล้ว มุมมองของเราที่มีต่อตลาดนั้นผิด แล้วเราจึงคัท)
ครั้งหนึ่ง O'Shea เคยสัมภาษณ์งานในตำแหน่ง economic consultant เค้าถูกถามว่า "How dose taking money from people by selling bonds and giving that same amount of money back to people through fiscal spending create stimulus?" เค้าตอบง่ายๆว่า "That is a really good question. I never thought about it." คนสัมภาษณ์ที่เค้าเต็มใจที่จะยอมรับว่าเค้าไม่รู้มากกว่าการ bluff และสุดท้ายเค้าก็ได้งานนั้น
แม้ว่า O'Shea จะเน้นแนวทางของ Global Macro แต่เค้าก็ให้ความสำคัญกับทั้ง Fundamental และ technical พอๆกัน โดยเค้ากล่าวไว้ว่า "To use a sailing analogy, the wind matters, but the tide matters, too. If you don't know what the tide is, and you plan everything just based on the wind, you are going to end up crashing into the rocks. That is how I see fundamentals and technicals."
- You have to look at real fundamentals, not at what policy makers want to happen.
เป็นสิ่งที่ O'Shea ได้เรียนรู้จากตอนที่ Soros ถล่มค่าเงินปอนด์ ที่ทางอังกฤษพยายามทำให้ค่าเงินตัวเองแข็ง เพื่อที่จะได้อยู่ใน ERM ต่อไปได้ ทั้งๆที่ เศรษฐกิจตอนนั้นของอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะถดถอย แต่ทางฝั่งเยอรมันประสบกับภาวะเงินเฟ้อ จึงพยายามที่จะควบคุมให้ interest rate อยู่ในระดับที่สูง โดย Soros ได้ทำการ Short Pound ของอังกฤษ และ Long Mark ของเยอรมัน สุดท้าย BOE ก็ต้านทานไม่ไหว และค่าเงินปอนด์ก็ได้ร่วงลงมาอย่างถล่มทลาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)