วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

LIBOR


          ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ Colm O'Shea ในหนังสือ Hedge Fund Market Wizards นั้น ได้มีการพูดถึง financial crisis ในปี 2006-2008 ผู้สัมภาษณ์ได้ถามว่า O'Shea เค้ารับรู้ได้อย่างไรว่า Money Market กำลังพังทะลายลงมา ประเด็นหนึ่งที่ O'Shea พูดไว้ และผมว่าน่าสนใจที่จะนำมาศึกษาต่อมากๆก็คือ เค้าบอกว่า ณ เวลานั้น ค่า LIBOR สูงมากๆ ทำให้ ธนาคารแต่ละธนาคารนั้นจะมีต้นทุนในการยืม กู้เงิน กันและกันสูงขึ้น ทำให้การไหลของเงินไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป และจุดนั้นนี่เองที่เป็นการเริ่มต้นของ Money Market Collapse 

          ทีนี้เรามาดูกันว่า LIBOR นี่คืออะไร LIBOR ย่อมาจาก London Interbank Offer Rate ซึ่งคำนวณได้จากการที่ในแต่ละวัน ธนาคารขนาดใหญ่ 16 แห่ง จะส่งข้อมูลให้กับสมาคมนายธนาคารอังกฤษว่า ตัวเองจะต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราเท่าไหร่ ถ้ากู้เงินจากธนาคารอื่นวันนี้ โดย อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 4 ตัวและ ต่ำสุด 4 ตัว จะถูกตัดออกไป และ LIBOR จะถูกคำนวณจากค่าเฉลี่ยของต้นทุนของ 8 ธนาคารที่เหลือ โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทยเราก็ได้มีการลงแจ้งไว้ทุกวันๆ โดยติดตามได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้ 
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=224&language=th

โดLIBOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนทั้งในส่วนของ 
1) การคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 
2) มุมมองต่อความเสี่ยงในการกู้ยืมระหว่างธนาคาร 

          ถ้าหากเราต้องการวัดเฉพาะมุมมองด้านความเสี่ยงของตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคารเพียงอย่างเดียว เราก็หักผลของคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ซึ่งมาตรวัดความเสี่ยงที่นิยมใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลาย คือ"LIBOR-OIS spread" หรือส่วนต่างระหว่าง LIBOR และ Overnight Indexed Swap rate (OIS rate)
          จากรูปด้านล่างจะเห็นได้ว่า ในช่วงสถานการณ์ปกติ (ก่อนเดือนสิงหาคม 2007) LIBOR-OIS spread ระยะ 3 เดือน จะอยู่ที่ประมาณ 0.1% โดยเฉลี่ย แต่ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเงินต่างๆ LIBOR-OIS spread ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปกติค่อนข้างมาก และได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 3.64% ในเดือนตุลาคม 2008 จากผลของการล้มละลายของ Lehman Brothers อย่างไรก็ดี หลังจากวิกฤติเริ่มคลี่คลายลง LIBOR-OIS spread ก็ได้ปรับลดลงเป็นลำดับและกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
ที่มา : http://scbeic.com/THA/document/libor_july2010/



          สำหรับตลาดไทยนั้นมีการใช้ทั้ง THBFIX และ BIBOR ซึ่งพักหลังๆ จะค่อนข้างเอนเอียงมาทาง BIBOR ซะเป็นส่วนใหญ่ ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ต่อไปนี้








1 ความคิดเห็น: